soup   van club                    
     
การท่องเที่ยว ที่มากกว่า การเที่ยวท่อง ..!!                    
     





soup van club     การท่องเที่ยว ที่มากกว่า การเที่ยวท่อง ..!!     ติดตามข่าวสารการท่องเที่ยว ... แวะมาเยี่ยมกันบ่อยๆ นะ คร๊าบ ..


บริษัท ไทยฮอตสปอต เน็ตเวิร์ค จำกัด สนใจโฆษณา Welcome to JustUsers.net
จีพีเอสเที่ยวไทยดอทคอม

....::::    ::::....         สมัครสมาชิกเว็บ ง่ายๆ ถ้ามีเฟซบุ๊คอยู่แล้ว     ในขั้นตอนสมัครสมาชิก   เจอหน้าแรก "กดยอมรับข้อตกลงของเว็บ Soup Van Club"     หน้าต่อไป ให้กดที่ภาพ   "ภาพเฟซบุ๊ค"   แล้วป้อนอะไรนิดหน่อย     จากนั้นรอสักครู่ ระบบจะพาเข้าเว็บอัตโนมัติ ..!!       ....::::    ::::....

ผู้เขียน หัวข้อ: กว่าจะมาเป็น วัดร่องขุ่น ที่สวยงามในปัจจุบัน  (อ่าน 6126 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ลุงซุป เชียงใหม่

  • soup chiangmai
  • Administrator
  • *
  • กดนิ้วโป้ง.! แทนคำขอบคุณ
  • -มอบให้: 631
  • -จึงได้รับ: 949
  • กระทู้: 2027
  • กำลังใจ : +928/-0
  • ลุงซุป เชียงใหม่
  • ระบบปฏิบัติการ:
  • Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
  • เบราเซอร์:
  • Chrome 83.0.4103.116 Chrome 83.0.4103.116
    • <b>กลุ่มพิเศษ..</b>
  • สมาชิกลำดับที่: 1
Share: โพสกระทู้นี้ลงใน Twitter ของคุณ  โพสกระทู้นี้ลงใน Facebook ของคุณ...              

                    เมื่อประมาณ พ.ศ.2430 มีชาวบ้านเข้ามาจับจองที่ดินทำไร่ทำนาบริเวณบ้านร่องขุ่นในปัจจุบันเพียงไม่กี่หลังคาเรือน โดยอาศัยลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงสู่แม่น้ำแม่ลาวซึ่งมีลักษณะสีขุ่นเลี้ยงชีพ ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “บ้านฮ่องขุ่น” (ภาษากลางออกเสียง ร่องขุ่น) มาโดยตลอด ต่อมา ขุนอุดมกิจเกษมราษฎร์ (ต้นตระกูล เกษมราษฎร์) นำครอบครัวญาติมิตรเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจนเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่า 50 หลังคาเรือน ท่านจึงได้ดำริที่จะสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นภายในหมู่บ้าน เพื่อจะได้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชน

                    วัดร่องขุ่น จึงถือกำเนิดครั้งแรก ณ ริมฝั่งน้ำแม่ลาวด้านทิศตะวันตกใกล้กับลำน้ำแม่มอญ ซึ่งอยู่เลยลำน้ำร่องขุ่นไปทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร คณะศรัทธาได้ร่วมใจกันสร้างศาลา และกุฏิเป็นเรือนไม้แบบง่ายๆ เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ โดยชาวบ้านได้อาราธนานิมนต์ พระทองสุข บาวิน จาก วัดสันทรายน้อย หมู่ 13 มาเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาเกิดน้ำเซาะตลิ่งพังจนไม่สามารถรักษาศาสนสถานไว้ได้ มาจนถึงสมัยของ คุณพ่อหมี แก้วเลื่อมใส เป็นผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันกับชาวบ้านย้ายวัดมาตั้งอยู่ในบริเวณหัวนาของท่าน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนด้านทิศตะวันตกติดกับลำน้ำร่องขุ่น

                    จากนั้นไม่นาน พระทองสุข ได้ย้ายออกจากวัด จึงเหลือเพียงสามเณร 3 รูป ในจำนวนนี้มี สามเณรทา ดีวรัตน์ ได้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส นายทาเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และสุดท้ายได้เป็นกำนันประจำตำบลบัวสลี (กำนันคนแรกของหมู่บ้านร่องขุ่น) กำนันทา ดีวรัตน์ เห็นว่าหมู่บ้านใหญ่ขึ้นผู้คนมากหลาย วัดวาคับแคบ อีกทั้งเป็นที่ลุ่มใกล้ลำน้ำ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน กำนันและคณะศรัทธาจึงได้ทำการย้ายวัดมาตั้งอยู่บนที่ดินในปัจจุบันนี้ โดยนางบัวแก้ว ภรรยากำนันทา เป็นผู้ยกที่ดินให้สร้างวัดจำนวน 4 ไร่เศษ คณะศรัทธาได้ร่วมกันสร้างศาลาเรือนไม้ 1 หลัง เมื่อแล้วเสร็จจึงร่วมกันเดินทางไปอาราธนานิมนต์ พระดวงรส อาภากโร จาก วัดมุงเมือง อ.เมืองเชียงราย มาเป็นเจ้าอาวาส โดยมี พระครูพุทธิสารเวที (แฮด เทววํโส) เป็นผู้แนะนำ

                    ในยุคสมัยพระดวงรส อาภากโร เป็นเจ้าอาวาส วัดเจริญรุ่งเรืองมาก มีพระจำพรรษาถึง 4 รูป สามเณรร่วม 10 รูป แม่ชี 2 คน กาลเวลาล่วงไปหลายพรรษา พระดวงรสได้ย้ายไปอยู่วัดอื่น ทำให้วัดร่องขุ่นขาดผู้นำคณะสงฆ์ คณะศรัทธาจึงได้ร่วมกันเดินทางไปพบเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย เพื่อขอพระภิกษุมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคณะอำเภอฯ ได้ส่ง พระอินตา มาอยู่จำพรรษา แต่อยู่ได้เพียงพรรษาเดียว พระอินตาก็ย้ายไปอยู่วัดอื่น คณะศรัทธาชาวบ้านจึงได้เดินทางไปวัดสันทรายน้อยอีกครั้ง เพื่อขออาราธนานิมนต์ พระไสว ชาคโร มาเป็นเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ.2499

                    พระไสว ชาคโร เป็นพระที่คณะศรัทธาในหมู่บ้านและต่างแดนเลื่อมใสมาก ท่านได้สร้างอุโบสถในปี พ.ศ.2507 ต่อมา พระไสว กำนันเป็ง ไชยลังกา พร้อมคณะศรัทธาอาราธนาพระพุทธรูปหินโบราณ จากหมู่บ้านหนองสระ อ.แม่ใจ พะเยา มาเป็นพระประธานในอุโบสถ ปี พ.ศ.2520 ได้รับวิสุงคสีมา ปี พ.ศ.2529 ได้บูรณะซ่อมแซมกำแพงวัด ปี พ.ศ.2533 สร้างหอฉัน และซุ้มประตูวัดด้านข้าง

                    ขณะที่วัดร่องขุ่นเจริญรุ่งเรืองด้วยคณะศรัทธาชาวไทยและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และบ้างก็แยกย้ายกันออกไปอยู่ต่างถิ่น เมื่อร่ำรวยแล้วก็หวนกลับมาช่วยกันทำนุบำรุงรักษาวัดตามอัตภาพ ทั้งยังมีคณะศรัทธาต่างถิ่นที่เลื่อมใสศรัทธาในพระไสวเป็นจำนวนมาก ได้เดินทางมาร่วมทำบุญ ในการก่อสร้างศาสนสถานจนแล้วเสร็จทั้งหมด ด้วยความเป็นพระนักพัฒนา ปี พ.ศ.2537 พระไสวได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูชาคริยานุยุต

                    ในปี พ.ศ.2538 พระครูชาคริยานุยุต ได้ทำการก่อสร้างศาลาอบสมุนไพรขึ้น เพื่อหวังให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ของวัดเพื่อสังคม แต่ท่านได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตเสียก่อน จึงล้มเลิกโครงการไป และในปีเดียวกันนี้ คณะศรัทธาวัดร่องขุ่นมีความเห็นว่าอุโบสถที่สร้างมาร่วม 38 ปี อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ใช้ทำสังฆกรรมไม่ได้ กลับเป็นที่อยู่ของค้างคาวฝูงใหญ่ จึงคิดจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538 จึงได้ทำพิธีรื้อถอนอุโบสถ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2538

                    วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอุโบสถหลังปัจจุบัน แต่เสร็จเพียงแค่โครงสร้างตัวอุโบสถองค์กลางเท่านั้น ปัจจัยของวัดเริ่มขาดแคลนเพราะภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ใน ปี พ.ศ.2540 อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรผู้มีชื่อเสียงระดับชาติ ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนบ้านร่องขุ่นโดยกำเนิด ได้ปวารณาตนเข้ามาสานต่อเพื่อสร้างอุโบสถถวายเป็นพุทธบูชาหวังให้เป็น “งานศิลป์เพื่อ แผ่นดิน” ด้วยปัจจัยของท่านเอง โดย พระครูชาคริยานุยุต และคณะศรัทธา ชาวบ้านไม่ต้องลำบากในการหาเงินมาสร้างวัดในภาวะเศรษฐกิจของชาติ ที่กำลังตกต่ำ

                    อาจารย์เฉลิมชัย ได้เข้ามาทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมแบบแปลนตามปรารถนาของท่าน จนทำให้วัดร่องขุ่นสวยงามประทับใจผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มาเยี่ยมชม จากวัดร่องขุ่นที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดและประเทศชาติ โครงการก่อสร้างวัดเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะประกอบด้วยหมู่สถาปัตยกรรมทั้งสิ้น 4 หลัง มี อุโบสถ , ประสาทบรรจุพระธาตุ ,  พิพิธภัณฑ์ศาลาราย , เมรุ , หมู่กุฏิ , ศาลาการเปรียญ และศาลารับรองแขกที่มาเยี่ยมชมวัด

                    อาจารย์เฉลิมชัย ได้ทำการซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อขยายบริเวณวัดทางด้านทิศใต้ จำนวน 1 ไร่ 200 ตารางวา และคุณวันชัย วิชญชาคร จากกรุงเทพฯ บริจาคที่ดินเพิ่มต่อจากที่ซื้ออีก 5 ไร่ 300 ตารางวา รวมที่วัดในปัจจุบันเป็น จำนวน 10 ไร่ 100 ตารางวา เพื่อจะสร้างหมู่สถาปัตยกรรมทั้ง 4 ให้เสร็จสิ้น ตามจินตนาการของท่าน ส่วนสิ่งก่อสร้างที่เคยมีมาไม่ว่าจะเป็น ศาลา , กุฏิ , หอฉัน , ศาลาอบสมุนไพร , ซุ้มประตู และกำแพงวัด ที่สร้างในสมัยพระครูชาคริยานุยุต ได้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาจำเป็นต้องรื้อทิ้ง เพื่อสร้างบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ทัศนียภาพให้สวยงาม โดยเน้นแสดงความเป็นเอกภาพของหมู่สถาปัตยกรรมแนวใหม่ และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ในรูปแบบของอาจารย์อันวิจิตรอลังการ



อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอถวายตนรับใช้พระพุทธศาสนา เพื่อสร้างวัดร่องขุ่นตั้งแต่อายุ 42 ปี (พ.ศ. 2540) เป็นต้นไป จวบจนกว่าจะสิ้นลม ณ วัดแห่งนี้
ท่านสิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาใดๆ ในวัตถุทางโลก ท่านมุ่งอุทิศถวายตนให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมวลมนุษย์ชาติ อันเป็นที่รักของท่านด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น


เรียบเรียงโดย : อาจารย์ดอน ชัยรัตน์ (รองประธานกรรมการวัดร่องขุ่น)
อภิชิต ศิริชัย (ผู้เผยแพร่)









ลุงซุป เชียงใหม่ ศุภชัย นันท์วโรทัย     081-032-1805    
 soup.van.cnx.    ID: 0810321805    soupvancnx     soup.van@hotmail.com

สมาชิกที่เห็นด้วยและขอบคุณ


 

เว็บพันธมิตร, แลกลิ้งค์ เว็บบ้านพัก "แม่กลางหลวงฮิลล์" | ร้านชาสา บ้านรักไทย | เว็บรถป็อปดอทคอม | เว็บจีพีเอสเที่ยวไทยดอทคอม | เว็บพิจิตรบ้านเราดอทคอม
หน่วยงานการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว (ททท.) | ททท.ภาคกลาง | ททท.ภูมิภาคภาคตะวันออก | กรม อช.สัตว์ป่าและพันธุ์พืช | จองที่พัก อช.ระบบออนไลน์ | จังหวัดแม่ฮ่องสอน | ททท. สนง.แม่ฮ่องสอน | ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน | กระทรวงวัฒนธรรม | ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก(ก.วัฒนธรรม) | สำนักอุทยานแห่งชาติ | เว็บโครงการหลวงฯ
คมนาคม, ขนส่ง การบินไทย | โอเรี่ยนไทย | แอร์เอเชีย | Solar Air | บางกอกแอร์เวย์ | บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) | การรถไฟแห่งประเทศไทย | สมบัติทัวร์ | เชิดชัยทัวร์ | สยามเฟิสท์ทัวร์ | นครชัยแอร์ | รถทัวร์ไทยดอทคอม | ติดตามการส่งพัสดุEMS | ตรวจผลสลาก.. | speedtest.adslthailand.com | speedtest.net | speedtest.or.th