soup   van club                    
     
การท่องเที่ยว ที่มากกว่า การเที่ยวท่อง ..!!                    
     





soup van club     การท่องเที่ยว ที่มากกว่า การเที่ยวท่อง ..!!     ติดตามข่าวสารการท่องเที่ยว ... แวะมาเยี่ยมกันบ่อยๆ นะ คร๊าบ ..


บริษัท ไทยฮอตสปอต เน็ตเวิร์ค จำกัด สนใจโฆษณา Welcome to JustUsers.net
จีพีเอสเที่ยวไทยดอทคอม

....::::    ::::....         สมัครสมาชิกเว็บ ง่ายๆ ถ้ามีเฟซบุ๊คอยู่แล้ว     ในขั้นตอนสมัครสมาชิก   เจอหน้าแรก "กดยอมรับข้อตกลงของเว็บ Soup Van Club"     หน้าต่อไป ให้กดที่ภาพ   "ภาพเฟซบุ๊ค"   แล้วป้อนอะไรนิดหน่อย     จากนั้นรอสักครู่ ระบบจะพาเข้าเว็บอัตโนมัติ ..!!       ....::::    ::::....

ผู้เขียน หัวข้อ: รีวิวพระอารามล้านนา (เส้นถนนคนเดินท่าแพ เชียงใหม่)  (อ่าน 21814 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jomjam Jam

  • Administrator
  • *
  • กดนิ้วโป้ง.! แทนคำขอบคุณ
  • -มอบให้: 31
  • -จึงได้รับ: 658
  • กระทู้: 443
  • กำลังใจ : +662/-0


6. วัดดวงดี : เดิมชื่อ “วัดต้นหมากเหนือ” บางตำราบอกว่าวัดนี้มีหลายชื่อที่เรียกต่อๆ กันมา เช่น วัดพันธนุนมดี วัดอุดมดี วัดพนมดี  เป็นต้น ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า บนถนนพระปกเกล้า ใกล้กับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของนครเชียงใหม่ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นเมื่อใด มีเพียงจารึกที่ฐานพระพุทธรูปประธานภายในพระวิหารเท่านั้น ที่ระบุเอาไว้ว่าพระประธานองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว เมื่อปี พ.ศ. 2039 คาดว่าคงสร้างขึ้นหลังจากพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จแล้ว ปัจจุบันมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ามากราบไหว้และเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก อาจเนื่องเพราะชื่อวัดเป็นสิริมงคล สถาปัตยกรรมที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ 1. พระเจดีย์สีขาว องค์ประธานของวัดดวงดี ซึ่งเป็นศิลปะล้านนา ฐานสี่เหลี่ยมย่อเก็จ ฐานบัวหกเหลี่ยมซ้อนกันสี่ชั้น รองรับองค์ระฆังขนาดเล็ก ประดับด้วยกระจกสี ส่วนยอดประดับด้วยฉัตรสีทองห้าชั้นตามธรรมเนียมล้านนา 2. พระวิหารหลวง หลังปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอินทรวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ภายในพระวิหารประดิษฐาน “พระพุทธรูปดวงดี” เป็นพระประธานปางมารวิชัย ที่ฐานพระมีจารึกเขียนไว้ว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้วเมื่อปี พ.ศ. 2039  3. หอไตรที่มีอายุเกือบ 200 ปี ปัจจุบันอาจมีบางส่วนที่ชำรุดไปตามกาลเวลา ฝาผนังภายในมีภาพลายคำเรื่องพระเวสสันดรชาดก และ 4.พระอุโบสถ ตั้งอยู่ด้านข้างของพระวิหาร เป็นอาคารหลังเล็ก สถาปัตยกรรมล้านนา ด้านหน้าประดับด้วยลวดลายไม้แกะสลัก ผนังภายในเขียนภาพจิตรกรรมลวดลายสวยงาม




7. วัดอินทขีลสะดือเมือง : เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่บนถนนอินทรวโรรส ใกล้อนุเสาวรีย์สามกษัตริย์ เดิมเป็นวัดร้างและเคยเป็นที่ประดิษฐานเสาอินทขีล (เสาหลักเมือง) ของเมืองเชียงใหม่ สร้างโดยพญามังรายมหาราชผู้ก่อตั้งนครเชียงใหม่ คำว่า "อินทขีล" มาจากคำว่า "อินทขีละ" ในภาษาบาลี แปลว่า เสาเขื่อน เสาหิน หรือแท่งเสาหลักเมือง เดิมวัดนี้ชื่อว่า "วัดอินทขีล" แต่เนื่องจากที่ตั้งของวัดนี้อยู่บริเวณสะดือเมืองเชียงใหม่ ชาวบ้านจึงเรียกวัดแห่งนี้ว่า "วัดสะดือเมือง" ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดอินทขีลสะดือเมือง" ตราบจนปัจจุบัน ภายในวัดมีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาเป็นเวลานาน ชื่อว่า "พระเจ้าอุ่นเมือง" หรือ "หลวงพ่อขาว" อายุกว่า 700 ปี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบล้านนา มีพระพักตร์อิ่มเอิบ ตั้งอยู่ภายในวิหารทรงล้านนาที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง





8. วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร : เป็นพระอารามหลวงในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างอยู่กลางใจเมือง ถ.พระปกเกล้า ต.พระสิงห์ แต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา แต่ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ. 1928 - 1945  ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย เพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแด่"พระเจ้ากือนา" พระราชบิดา ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ "ราชกุฏาคาร" หรือ "วัดโชติการาม" แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว เนื่องจากเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ ความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่า “โชติการาม” คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟไปประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสว มีความงดงาม สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เนื่องจากภาษาคำเมือง "หลวง" แปลว่า “ใหญ่” ซึ่งหมายถึง พระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระวิหารหลวง ซึ่งถูกสร้างครั้งแรกโดยพระนางติโลกจุฑา พระราชมารดาของพระเจ้าสามฝั่งแกน เมื่อปี พ.ศ.1954 ต่อมาได้มีการบูรณะและสร้างใหม่อีกหลายครั้ง พระวิหารหลวงที่เห็นในปัจจุบัน เจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2471 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อย ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร นาคคู่นี้เป็นฝีมือเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เดิม และได้ชื่อว่าเป็นนาคที่สวยที่สุดของภาคเหนือ ภายในพระวิหารหลวงมี "พระอัฎฐารส" เป็นพระประธาน หล่อด้วยทองสำริด ปางห้ามญาติ สูง 18 ศอก ซึ่งพระนางติโลกจุฑาโปรดฯ ให้หล่อขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1954 และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงใช้วิหารวัดเจดีย์หลวงนี้เป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัจจาแทนการทำพิธีที่วิหารวัดเชียงมั่น นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดอีกอย่างหนึ่ง คือ เสาอินทขิล หรือเสาหลักเมือง เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขีล พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 1 ในราชวงศ์ทิพจักร โปรดให้ย้ายเสาอินทขีลจากวัดสะดือเมือง มาไว้ ณ วัดเจดีย์หลวง เมื่อ พ.ศ.2343 ซึ่งเสาอินทขีลนี้เป็นเสาหลักเมืองที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะและนับถือ เชื่อว่าเป็นที่รวมวิญญาณของชาวเมืองและบรรพบุรุษในอดีต จึงเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และในวันแรม 12 ค่ำเดือน 8 (เหนือ) หรือประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะมีการจัดงานประเพณีสักการะบูชาเสาหลักเมืองขึ้นเป็นประจำทุกปี เรียกว่า งานประเพณีใส่ขันดอก บูชาเสาอิทขีล โดยงานดังกล่าวได้อัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่า อันเป็นพระพุทธรูปที่บันดาลให้ฝนตกมาเป็นประธานในขบวนแห่และมีการสวดคาถาอินทขีลของหมู่สงฆ์ด้วย ซึ่งชาวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงต่างพากันนำข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำอบน้ำหอมมาบูชาเสาอินทขีลและพระพุทธรูปฝนแสนห่ากันอย่างเนืองแน่นทุกปี







9. วัดพันเตา : ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกว่า "วัดพันเท่า" หรือ "พันเต่า" เป็นวัดขนาดเล็ก มีความเก่าแก่ควบคู่กับวัดเจดีย์หลวง แต่ไม่มีประวัติชัดเจน ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ติดวัดเจดีย์หลวง สิ่งสำคัญภายในวัด คือ พระวิหารหอคำหลวง ซึ่งสร้างด้วยไม้สักขนาดใหญ่ที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง  ตัวอาคารเป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง ตามศิลปะแบบเชียงแสน เดิมเป็นหอคำหรือคุ้มหลวง ที่ประทับของพระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 5 ในสมัยพระเจ้าอินทวิชชานนท์ (องค์ที่ 7) ซึ่งโปรดฯ ให้รื้อหอคำแห่งนี้ถวายให้เป็นพระวิหารของวัดพันเตา ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐาน "พระเจ้าปันเต้า" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญและเก่าแก่ของวัด ส่วนประตูของพระวิหารนั้น เหนือซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งมองดูวิจิตรและสง่างาม และเป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นของวัดพันเตา นอกจากนี้ยังมีธรรมมาสน์ยกพื้นสูงแบบโบราณอายุกว่าร้อยปีให้ได้ชม ส่วนด้านหลังของพระวิหารหอคำหลวง เป็นเจดีย์องค์ประธานของวัด ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยม และรายล้อมด้วยเหล่าเจดีย์ที่งดงาม





10. วัดสำเภา : ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ต.ศรีภูมิ อยู่ตรงข้ามกับวัดพันอ้น ในเขตคูเมืองชียงใหม่ ห่างจากประตูท่าแพเพียง 250 เมตร สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย แต่ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง ในสมัยนั้นมีพ่อค้าชาวเมืองระแหง (ชาวจังหวัดตากในปัจจุบัน) เดินทางมาค้าขายในเมืองเชียงใหม่ เกิดความศรัทธาต่อพุทธศาสนาจึงสร้างสำเภาทองบรรจุในเจดีย์ของวัดแห่งนี้ และได้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดสำเภา” โดยคำว่า “สำเภา” มาจากคำว่า “สะเภา” โดยสิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระวิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมล้านนา ตัวอาคารตั้งอยู่บนฐานยกสูง หลังคาซ้อนกันสามชั้นตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนา หน้าบันตลอดจนตัวเสาประดับด้วยลายปูนปั้นที่ยังสมบูรณ์ มีทั้งรูปเทวดา ลายพรรณพฤกษา และสัตว์ต่างๆ บันไดทางขึ้นเป็นมกรคายนาคสีออกส้ม  ภายในประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย

สมาชิกที่เห็นด้วยและขอบคุณ



เว็บพันธมิตร, แลกลิ้งค์ เว็บบ้านพัก "แม่กลางหลวงฮิลล์" | ร้านชาสา บ้านรักไทย | เว็บรถป็อปดอทคอม | เว็บจีพีเอสเที่ยวไทยดอทคอม | เว็บพิจิตรบ้านเราดอทคอม
หน่วยงานการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว (ททท.) | ททท.ภาคกลาง | ททท.ภูมิภาคภาคตะวันออก | กรม อช.สัตว์ป่าและพันธุ์พืช | จองที่พัก อช.ระบบออนไลน์ | จังหวัดแม่ฮ่องสอน | ททท. สนง.แม่ฮ่องสอน | ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน | กระทรวงวัฒนธรรม | ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก(ก.วัฒนธรรม) | สำนักอุทยานแห่งชาติ | เว็บโครงการหลวงฯ
คมนาคม, ขนส่ง การบินไทย | โอเรี่ยนไทย | แอร์เอเชีย | Solar Air | บางกอกแอร์เวย์ | บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) | การรถไฟแห่งประเทศไทย | สมบัติทัวร์ | เชิดชัยทัวร์ | สยามเฟิสท์ทัวร์ | นครชัยแอร์ | รถทัวร์ไทยดอทคอม | ติดตามการส่งพัสดุEMS | ตรวจผลสลาก.. | speedtest.adslthailand.com | speedtest.net | speedtest.or.th