รีวิวพระอารามล้านนา (ระหว่างเส้นทางถนนคนเดินท่าแพ)
"ถนนคนเดินท่าแพ" หรือ "ถนนคนเดินเชียงใหม่" นับว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวไม่พลาดเมื่อมาเที่ยวเชียงใหม่...เขาว่ากันว่าถ้าไม่มาถนนคนเดินแห่งนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่กันเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย ทั้งงานแฮนด์เมด งานศิลปะ งานไอเดียเก๋ไก๋ รวมทั้งของกินที่ล้วนแต่น่ารับประทานแล้ว ทราบหรือไม่ว่าระหว่างเส้นทางของถนนคนเดินแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของวัดมากมายเรียงรายอยู่ตลอดเส้นทาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง มีอายุอานามหลายร้อยปี หากใครที่ต้องการทำบุญไหว้พระ 9 วัด รับรองว่ามายังถนนคนเดินแห่งนี้ได้ทำบุญมากกว่า 9 วัดแน่นอน ซึ่งจะมีจำนวนกี่วัด และชื่อวัดอะไรบ้าง มาติดตามชมกันค่ะ ...โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร-ประตูท่าแพ...
[attach=1]
1. วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร : วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ เดิมชื่อ "วัดลีเชียงพระ" สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ วิหารลายคำ ซึ่งตัววิหารสร้างตามแบบศิลปกรรมของภาคเหนือ มีรูปปั้นพญานาค 2 ตัวอยู่บันไดหน้า และใกล้ๆ พญานาค มีรูปปั้นสิงห์ 2 ตัว บริเวณภายในเป็นที่ประดิษฐาน "พระสิงห์" หรือ "พระพุทธสิหิงค์" เป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง" ผนังด้านเหนือภายในวิหารลายคำมีภาพจิตรกรรมเขียนเรื่องสังข์ทอง ด้านใต้เขียนเรื่องสุวรรณหงส์ นับเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องสังข์ทอง ซึ่งพบเพียงที่เดียว ณ วัดแห่งนี้ ภายในวัดยังมีพระวิหารหลวง ซึ่งประดิษฐาน "หลวงพ่อโต" เป็นพระประธานองค์ใหญ่ ส่วนลานหน้าวัดมีรูปหล่อครูบาศรีวิชัยตั้งอยู่ ด้านซ้ายมือของพระวิหารหลวงเป็นที่ตั้งของ "หอไตร" หรือ "หอธรรมศิลปะล้านนายุครุ่งเรือง" ด้านหลังของพระวิหารหลวง คือ พระอุโบสถ ภายในมีมณฑปปราสาท ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์จำลอง ทางเข้าพระอุโบสถด้านทิศเหนือเป็นซุ้มประตูโขง นอกจากนี้ ตามคติความเชื่อของชาวล้านนา วัดพระสิงห์วรมหาวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ "พระธาตุหลวง" หรือ "พระมหาเจดีย์" พระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีมะโรง
[attach=2]
2. วัดศรีเกิด : ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ บนถนนราชดำเนิน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ พระอารามแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อไรไม่มีประวัติบันทึกไว้แน่ชัด แต่คาดกันว่าน่าจะมีมาตั้งแต่ก่อนพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ เรียกได้ว่าอายุอานามเก่าแก่กว่า ๗๐๐ ปี ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ พระวิหารของวัดแห่งนี้สร้างแบบสถาปัตยกรรมล้านนา ยกพื้นสูง หลังคาหลูบเตี้ย ด้านข้างมีมุขยื่นออกไปจากตัวอาคาร เพื่อเป็นเส้นทางขึ้นลงของพระสงฆ์ เป็นเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของวิหารแบบล้านนา เดินเข้าไปภายในจะรู้สึกว่าหลังคาค่อนข้างเตี้ย ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของวัด ได้แก้ “พระเจ้าแข้งคม” หรือ “พระเจ้าแค่งคม” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ขัดสมาธิราบ หล่อขึ้นจากสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 94 นิ้ว สูง 112 นิ้ว น้ำหนักมากถึง 3,960 กิโลกรัม เป็นพุทธศิลป์แบบล้านนา สาเหตุที่เรียกกันว่า “พระเจ้าแข้งคม” เพราะว่าพระชงฆ์ (เข่า) มีลักษณะเป็นสันยาวผิดจากพระพุทธรูปองค์อื่นๆ
[attach=3]
3. วัดทุงยู : วัดทุงยู เป็นวัดขนาดเล็ก อยู่ในเขตเมืองเก่าบนถนนราชดำเนิน ตำบลศรีภูมิ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางด้านทิศเหนือกับวัดศรีเกิดและเยื้องกับสถานีตำรวจภูธรภาค 5 สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ.2019 เดิมชื่อ "วัดตุงยู" ส่วนคำว่า “ทุงยู” ปรากฏในวรรณกรรมและกฎหมายโบราณ หมายถึง "ร่มที่เป็นเครื่องประดับยศเจ้านาย" พระอุโบสถ สร้างแบบล้านนาไทย ทำเป็นคอนกรีตหินอ่อนลงรักปิดทอง มีภาพฝาผนัง ช่อฟ้าใบระกา ทำด้วยไม้สักปิดทอง ที่ได้รับการบูรณะใหม่ โก่งคิ้วเป็นรูปโค้งไม่มีรวงผึ้งหน้าบันประดับปูนปั้นลวดลายเครือเถาประดับกระจกอังวะ ส่วนพระเจดีย์ เป็นทรงกลม เดิมเป็นแบบล้านนาตั้งบนเรือนธาตุ ต่อมาได้รับการบูรณะโดยเป็นรูปแบบอิทธิพลทรงพม่า–มอญ
[attach=4]
4. วัดชัยพระเกียรติ : ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลศรีภูมิ เดิมมีชื่อว่า "วัดชัยผาเกียรติ์" โคลงนิราศหริภุญไชยกล่าวถึงพระอารามแห่งนี้เอาไว้ว่า สร้างขึ้นในช่วงที่ราชวงศ์มังรายปกครองเมืองเชียงใหม่ และได้รับการทำนุบำรุงโดยกษัตริย์เชียงใหม่ทุกพระองค์เรื่อยมา ปัจจุบันปูชนียสถานต่างๆ ภายในวัดได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด เนื่องจากของเดิมมีสภาพทรุดโทรมและเสียหายไปตามกาลเวลา สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระวิหาร ซึ่งพระวิหารองค์ปัจจุบันเป็นของใหม่ หน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้นพรรณพฤกษาสีทองบนพื้นกระจกสีน้ำเงิน กลางหน้าบันเป็นรูปเทพพนม บันไดมีสิงห์ปูนปั้นสองตัวตั้งไว้เป็นทวารบาล ภายในพระวิหารประดิษฐานพระประธาน “พระพุทธรูปเมืองราย” หรือรู้จักกันทั่วไปในชื่อ “พระเจ้าห้าตื้อ” หล่อด้วยโลหะผสมทองหนัก 5,000 กิโลกรัม ประทับอยู่ในซุ้มโขง ชื่อ “พระเจ้าห้าตื้อ” นั้น มาจากน้ำหนักขององค์พระที่หนัก 5 ตื้อ (1 ตื้อ เท่ากับ 1,000 กิโลกรัม) ที่ฐานของพระเจ้าห้าตื้อมีจารึกอักษรพม่า ส่วนด้านหลังเป็นอักษรธรรมล้านนา เชื่อกันว่าผู้ใดมาสักการะกราบไว้พระเจ้าห้าตื้อ จะรอดพ้นจากภัยอันตรายต่างๆ และมีชัยในสิ่งหวังทุกประการ
[attach=5]
5. วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ : หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดอุโมงค์เถรจันทร์" เดิมชื่อว่า "วัดโพธิ์น้อย" ตั้งอยู่ภายในเขตด้านในกำแพงเมืองเชียงใหม่ ถนนราชภาคินัย ตำบลศรีภูมิ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1839-1840 โดยพระมหากษัตริย์ทั้งสามพระองค์ คือ พระเจ้าเม็งราย พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยมีหลักฐานจาก “คัมภีร์ธรรมปัญหาเถรจันทศรมณ์” กล่าวคือเมื่อครั้งที่สร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อกษัตริย์ทั้งสามได้วางผังเมืองเรียบร้อยแล้ว จึงได้จัดสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเป็นวัดแรกของเชียงใหม่ และได้สร้างไว้ที่ในจุดกลางเมือง พระเจดีย์ของวัดนี้มี 2 องค์ โดยพระเจดีย์องค์ที่ 1 ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารหลวง ส่วนพระเจดีย์องค์ที่ 2 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวิหารหลวง พระพุทธรูปสำคัญภายในวัดมี 4 องค์ ได้แก่ พระพุทธเชียงแสนสิงห์หนึ่ง หรือ หลวงพ่อสมใจนึก พระพุทธปฏิมากร (หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อใหญ่) เป็นพระประธานในวิหารหลวง พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์สามแบบปางมารวิชัย ประดิษฐานหน้าพระประธาน (หลวงพ่อโต) และหลวงพ่อไร่หอม เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ประดิษฐาน ณ วิหารหลวงเช่นเดียวกัน
[attach=1]
11. วัดพันอ้น : เป็นวัดที่เก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาช้านาน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2044 ในรัชสมัยของพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช (พญาแก้วหรือพระเมืองแก้ว) กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 13 คำว่า “พันอ้น” สันนิษฐานได้ว่าเป็นชื่อผู้สร้างวัดที่ถวายไว้กับพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้สร้างเป็นทหารหรือขุนนางที่มีบรรศักดิ์เป็น “พัน” เพราะคนในสมัยนั้นเมื่อตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตมักจะสร้างวัดไว้เป็นอนุสรณ์ และนำชื่อของตนเองเป็นชื่อวัดที่ตนเองสร้างขึ้นด้วย และท่านคงมีนามว่า “อ้น” เมื่อสร้างวัดแห่งนี้เสร็จจึงให้นามว่า “วัดพันอ้น” ตามบรรดาศักดิ์และชื่อของท่าน ซึ่งบริเวณที่ตั้งของวัดพันอ้นนั้น แต่เดิมมีวัดอยู่ 2 วัดตั้งอยู่ คือวัดพันอ้นและมีวัดข้างเคียงอีกวัดหนึ่งชื่อว่า วัดเจดีย์ควัน เป็นวัดเล็กๆ อยู่ทางทิศตะวันตกของวัดพันอ้น สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกันและก็เป็นวัดที่มีขนาดแล็กทั้งคู่ และบวกกับระยะนั้นเป็นยุคที่ล้านนามีความรุ่งเรืองทางด้านศิลปวัฒนธรรม จึงมีการสร้างวัดวาอารามขึ้นมากมาย ต่อมาทั้งสองวัดได้รวมเป็นวัดเดียวกันคือ วัดเจดีย์ควันพันอ้น แต่คนทั่วไปมักจะเรียกง่ายๆ ว่า วัดพันอ้น และในปัจจุบันวัดพันอ้น เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณถนนคนเดินท่าแพ โดยในทุกวันอาทิตย์ ท่านเจ้าอาวาสจะเปิดวัดให้ประชาชนแวะแวียนกันเข้ามากราบไหว้ และบริเวณลานหน้าต้นโพธิ์จะมีโต๊ะไม้สำหรับให้นั่งพักผ่อน นอกจากนี้วัดพันอ้นยังเป็นวัดที่มีกิจกรรมดีๆ มากมายสำหรับประชาชนและเด็กๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น ทุกอาทิตย์จะมีกิจกรรมฝึกสมาธิ ปลูกฝังให้เด็กๆ เป็นคนดี โดยหากใครได้ผ่านการอบรมแล้ว จะได้รับใบประกาศนียบัตรเป็นที่ระลึกอีกด้วย
[attach=2]
12. วัดหมื่นล้าน : เดิมมีชื่อว่า "วัดหมื่นสามล้าน" ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตามหลักฐานได้มีการกล่าวไว้ว่า วัดหมื่นล้าน ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงราวปี พ.ศ. 2002 ในสมัยพระเจ้าติโลกราช โดย "หมื่นโลกสามล้านขุนพลแก้ว" ซึ่งเป็นขุนพลคู่ใจของพระองค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนาม "หมื่นด้ง" หรือ "หมื่นดังนคร" เพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับแม่ทัพนายกองและทหารของล้านนาที่เสียสละชีพในสงคราม สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระวิหาร ซึ่งสร้างด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาผสมผสานพม่า โดย“หลวงโยนการพิจิตร” (หมองปันโหย่ อุปโยคิน) คหบดีชาวพม่า หรือชาวบ้านเรียกว่า “ขุนหลวงโย” ต้นตระกูลอุปโยคิน ได้สละทรัพย์บูรณะพระวิหารหลังนี้ในปี พ.ศ. 2460 และต่อเติมมุขด้านวิหารหลังเดิมออกมาคลุมบันได หน้าบันโดดเด่นด้วยลวดลายแกะสลักไม้รูปนกยูงรำแพนประดับกระจกสี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะพม่า ภายในพระวิหารยังคงเอกลักษณ์ล้านนาดั้งเดิม มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นพระประธาน และฝาผนังเขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องราวพุทธประวัติทีสวยงาม
ถ่ายภาพและเรียบเรียงโดย Jomjam ทีมงาน soupvan cnx.
www.soupvanclub.com (http://www.soupvanclub.com)